4 เรื่องต้องระวัง! คนความดันต่ำต้องหมั่นใส่ใจ

ภาวะความดันต่ำ (Hypotension) คือภาวะค่าความดันภายในเลือดที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของค่าความดันภายในเลือดปกติ ภาวะความดันต่ำจึงเป็นอีกหนึ่งอาการเฉียบพลันที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ขึ้นอยู่กับความอ่อนไหวของร่างกายในขณะนั้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับโรคความดันโลหิตสูงมากกว่า เนื่องจากคิดว่าอันตรายกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าความดันต่ำเป็นภัยเงียบที่ร้ายแรงและอันตรายไม่แพ้ความดันโลหิตสูงเลยทีเดียว 

ประกันชีวิต


สนใจอยากทำประกันชีวิต คลิก >> ประกันชีวิต

เราจะเห็นว่าภาวะความดันต่ำนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ แม้แต่การทำกิจกรรมปกติในช่วงที่ร่างกายพักผ่อนน้อย ก็อาจทำให้เกิดเหตุการณ์หน้ามืดเพราะความดันต่ำกะทันหันขึ้นมาได้ ซึ่งการเกิดภาวะความดันต่ำแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ ภาวะความดันต่ำชนิดเฉียบพลัน จากการเปลี่ยนท่าทางกะทันหัน การพักผ่อนหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ และภาวะความดันต่ำชนิดเรื้อรัง ผู้ที่มีภาวะความดันต่ำอยู่แล้ว ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะภาวะความดันต่ำในผู้สูงวัย ยิ่งต้องใส่ใจร่างกายมากเป็นพิเศษ ดังนี้

1. อาบน้ำอุ่นเพื่อช่วยคงอุณหภูมิร่างกาย

เพราะน้ำที่มีอุณหภูมิเย็นจะมีผลต่อการขยายตัวของหลอดเลือด ผู้ที่มีภาวะความดันต่ำจึงควรอาบน้ำอุ่น เพื่อคงระดับความดันและรักษาอุณหภูมิให้ร่างกายไว้

 

2. เช็คสุขภาพร่างกายอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันต่ำได้ง่าย ผู้ที่ดื่มน้ำน้อยจนมีผลให้เกิดอาการเวียนหัว และหน้ามืดได้บ่อยกว่าปกติ 

 

3. เฝ้าระวังอุบัติเหตุหรือการเจ็บป่วยรุนแรง

เช่น การล้มหมดสติ รวมถึงภาวะสมองขาดออกซิเจนชั่วคราวจากภาวะความดันต่ำที่มีอยู่เดิม ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาทอัตโนมัติ ตลอดจนการทำงานของสมองและหัวใจร่วมด้วย

 

4. เปลี่ยนอิริยาบถอย่างค่อยเป็นค่อยไป

อย่างที่เราทราบกันดีว่าการลุก-นั่ง ก้ม-เงยเร็ว เป็นที่ทำให้เราหน้ามืด เวียนหัวได้ง่าย การชะลอความเร็วเมื่อต้องขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น จากนอนเป็นนั่งแล้วค่อยปรับเป็นการยืน รวมถึงการยกศีรษะสูงในขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและช่วยลดโอกาสของภาวะความดันต่ำได้เป็นอย่างดี



ความดันต่ำ


ภาวะความดันต่ำเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม แม้จะไม่ใช่โรคแต่ก็สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพได้  การรู้จักสังเกตอาการและดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากการดูแลตนเองแล้ว การทำ ประกันสุขภาพ และ ประกันชีวิต ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต



saving

 วงเงินคุ้มครอง

ควรเลือกแบบประกันที่ตรงกับความต้องการ โดยส่วนใหญ่ประกันชีวิตที่มีวงเงินความคุ้มครองสูง ผลตอบแทนที่ได้รับจะค่อนข้างน้อย เพราะค่าเบี้ยประกันบางส่วนจะถูกนำไปหักจ่ายเป็นค่าความคุ้มครอง

 

ระยะเวลาชำระเบี้ย

ควรเลือกให้เหมาะกับอายุและความสามารถในการหารายได้ เช่น การทำประกันสะสมทรัพย์แบบระยะยาวที่ต้องชำระเบี้ย 10 – 20 ปี เหมาะกับวัยเริ่มต้นทำงานหรือวัยกลางคน แต่สำหรับวัยใกล้เกษียณแล้ว ก็อาจจะไม่เหมาะสม เพราะส่วนใหญ่แล้วรายได้หลังเกษียณจะลดลงมาก อาจเป็นภาระมากกว่าจะเป็นการออมเงิน

 

งวดการชำระเบี้ย

โดยปกติเอกสารประกอบการเสนอขายประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ส่วนใหญ่จะแสดงค่าเบี้ยแบบรายปี หากผู้เอาประกันต้องการชำระเป็นรายเดือน รายสามเดือน หรือรายหกเดือน ก็สามารถทำได้ แต่ค่าเบี้ยรวมต่อปีจะสูงขึ้น 2% - 9% ซึ่งอาจทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการออมเงินในประกันชีวิตลดลง

 

รูปแบบการจ่ายเงินคืน

โดยปกติประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์มักจะให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินคืนรายงวดและเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งแต่ละบริษัทก็มีข้อเสนอที่แตกต่างกัน ดังนั้น หากยังไม่มีความจำเป็นต้องนำเงินไปใช้จ่ายอะไร ก็ควรฝากเงินคืนรายงวดไว้ในกรมธรรม์ เพราะจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากทั่วไป และที่สำคัญคือไม่เสียภาษีอีกด้วย

 

สภาพคล่อง

ประกันชีวิตเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งเมื่อผู้เอาประกันชำระเบี้ยแล้ว บริษัทประกันก็จะนำเงินบางส่วน (หลังหักค่าความคุ้มครองและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง)ไปลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมา ดังนั้น หากผู้เอาประกันต้องการยกเลิกสัญญาก่อนกำหนด ผู้เอาประกันอาจได้รับเงินคืนสูงหรือต่ำกว่าที่ชำระเบี้ยไว้ก็ได้ โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดได้จากกรมธรรม์

 

ดังนั้น การออมเงินในประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ค่อนข้างจะมีสภาพคล่องต่ำเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่สามารถแปลงเป็น เงินสดได้ทันที หากรู้ตัวว่า อาจมีความจำเป็นต้องใช้เงินระหว่างที่ออมอยู่ล่ะก็ ควรพิจารณาเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ให้ละเอียดรอบคอบก่อน จะได้ไม่เสียประโยชน์ในภายหลัง(Cr : set.or.th)

 

สมาร์ท เซฟวิ่งส์ 12/4 สมัครง่าย จ่ายเบี้ยสั้น การันตีผลตอบแทน

ให้คุณวางแผนการออมเงินระยะสั้นกับแบบประกันสะสมทรัพย์ “สมาร์ท เซฟวิ่งส์ 12/4” ที่ให้ผลตอบแทนแน่นอนพร้อมความคุ้มครองชีวิตที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสัญญา สมัครง่ายไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพ โดยเบี้ยประกันภัยที่จ่ายสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

 

ลักษณะเด่นของแบบประกันสะสมทรัพย์

   * จ่ายเบี้ยสั้นเพียง 4 ปี รับความคุ้มครองชีวิต 12 ปี

   * รับความคุ้มครองชีวิตเพิ่มขึ้น สูงสุดถึง 400%* ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 4 - 12

   * รับเงินคืนปีละ 1% - 4% เมื่อถึงสิ้นปีกรมธรรม์ปีที่ 4, 6, 8 และ 10 ตามลำดับ

   * รับเงินครบกำหนดสัญญา 435% ณ สิ้นปีกรมธรรม์ปีที่ 12

   * สมัครง่ายโดยไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามสุขภาพ

   * เบี้ยประกันภัยที่จ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 100,000 บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร (อ่านรายละเอียดประกันสะสมทรัพย์)

   * มีส่วนลดค่าเบี้ยประกันชีวิต สำหรับจำนวนเงินเอาประกันภัยตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป

% ที่ระบุไว้ด้านบน เป็นอัตราร้อยละของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น

ผลประโยชน์ความคุ้มครองชีวิต

หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญาในปีกรมธรรม์ที่ 1-3 บริษัทฯ จะจ่าย 100%*, 200%*, 300%* ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้นตามลำดับ และเพิ่มเป็น 400%* ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 4-12

 

 

ทำความรู้จัก Ultraformer MPT เครื่องมือยกกระชับใบหน้าและรูปร่าง

อัลตร้าฟอร์มเมอร์ Ultraformer MPT (Micro-Pulse Technology) คือ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยในการยกกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยร่องลึก พร้อมสลายไขมัน ให้กับผิวได้ในเครื่องเดียว โดยการส่งผ่านพลังงานคลื่นเสียงแบบเฉพาะเจาะจง (Focused Ultrasound) ที่มีความเข้มข้นสูงลงไปใต้ผิวหนัง ตำแหน่งความลึกที่ต้องการรักษาได้อย่างจำเพาะและแม่นยำ เรียกว่า MMFU: Macro-Mirco Focused Ultrasound พร้อมหัวยิงแบบวงกลม หรือ หัวอัลตราบูสเตอร์ (Ultra Booster) มีประสิทธิภาพในการป้องกันริ้วรอยและร่องลึกในชั้นผิวที่ตื้นขึ้น พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ด้วยการปล่อยพลังงานถึง 4 รูปแบบ ได้แก่
 
1. แบบจุด (Normal dot)
2. แบบเส้นตรงชนิด MP (Micro pulse)
3. แบบจุดวงกลม (Circular dot)
4. แบบวงกลมชนิด MP (Micro circular)

Ultraformer MPT คืออะไร


 
ขั้นตอนการทำ Ultraformer MPT การทำ Ultraformer MPT มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
 
  1. คุณหมอประเมิน ปริมาณช็อตที่ใช้ในการรักษา ตามปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อที่จะได้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คุ้มค่าทีสุด
  2. เช็ดทำความสะอาดผิว สามารถเลือกที่จะทายาชาหรือไม่ทาก็ได้ เพราะไม่ค่อยเจ็บหรือเจ็บน้อยระยะเวลาในการรอยาชาออกฤทธิ์ 30-45 นาที
  3. ก่อนทำการรักษา จะมีเจลเย็นเป็นตัวสื่อคลื่นอัลตราซาวน์
  4. คุณหมอทำการรักษาด้วยเครื่อง Ultraformer MPT ใช้เวลาในการทำ 20-45 นาที

Ultraformer MPT ช่วยเรื่องอะไร

อัลตร้าฟอร์มเมอร์ Ultraformer MPT ช่วยยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน สลายไขมันและลดริ้วรอยได้ทั้ง ใบหน้า เหนียง ลำคอ รวมถึงรูปร่าง
 
  • ยกคิ้ว 
  • ยกกระชับผิวหนังส่วนเกินบริเวณหนังตาบน 
  • ทำให้ดวงตาดูกลมโตขึ้น 
  • กระชับและลดริ้วรอยรอบดวงตา 
  • ยกกระชับแก้มหย่อนคล้อย 
  • ลดร่องแก้ม ยกมุมปาก 
  • ปรับรูปหน้าให้เรียวกระชับเป็น V Shape 
  • ยกกระชับผิวหนังที่หย่อนคล้อยบริเวณคาง เหนียง 
  • ยกกระชับผิวหนังบริเวณลำคอ ลดรอยย่นที่คอ 
  • กระชับรูขุมขน เหมาะสำหรับคนที่มีรูขุนขนกว้าง 
  • สลายไขมันและกระชับผิวที่ลำตัว
Ultraformer MPT ทำแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน

หลังทำ Ultraformer MPT จะเห็นผลทันที 20-30% และจะเห็นผลชัดเจนที่ 1 เดือน คอลลาเจนจะสร้างเต็มที่ที่ 3 เดือน และจะอยู่ได้นาน 9-12 เดือน ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ขึ้นกับแต่ละบุคคล


ทำ Ultraformer MPT ที่ไหนดี

ควรเลือกทำ Ultraformer MPT ในคลินิกที่ได้มาตรฐาน ใช้เครื่องแท้ที่ได้มาตรฐานในการบริการ และทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

Ultraformer MPT ของ Estiva Clinic



 
เครื่อง Ultraformer MPT ของ Estiva Clinic เป็นเครื่องที่แท้ นำเข้าผ่านบริษัทตัวแทนนำเข้าหนึ่งเดียวของประเทศไทย ได้รับมาตรฐานผ่านการรับรองอย.ไทย เกาหลี ออสเตรเลีย อเมริกา และยุโรป มีความปลอดภัยสูง และเห็นผลลัพธ์ในการรักษาอย่างดี คุณหมอดูแลเองทุกเคส เริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษาเพื่อทำการวิเคราะห์ใบหน้า วางแผนการรักษา เพื่อประเมินจำนวนช็อตที่เหมาะสมในแต่ละปัญหาที่ต้องการแก้ไข ไปจนถึงติดตามผลการการรักษา 


โทร : 062-4232626

8 แบบชุดทำงานสุดคลาสิก ใส่ได้ทุกยุคไม่มีเอาต์!

นิยามของชุดทำงานที่ดีที่แต่งแล้วช่วยเติมเต็มความมั่นใจ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเสื้อผ้าใหม่ ๆ ในทุกวัน หรือต้องตามกระแสอยู่ตลอดเวลา จำนวนไม่ได้การันตีถึงคุณภาพเสมอไป ไม่จำเป็นต้องมีเสื้อผ้าเยอะแต่ถ้าคุณรู้จัก Mix and Match หยิบนั่นผสมนี่ในสไตล์ของตัวเอง เพียงเท่านี้คุณก็จะสนุกกับการแต่งตัวได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ใครรู้สึกว่าไม่ค่อยมีเซนส์กับเรื่องการแต่งตัว ไม่ต้องห่วง เรามี 8 ชุดทำงานที่เรียกได้ว่า Timeless มีติดตู้ไว้ไม่เอาต์มาเป็นไกด์ไว้ให้เรียบร้อย จะหยิบเมื่อใส่เมื่อไรตอนไหนก็ดูดี แมทช์กับอะไรก็ง่าย ไปดูกันเลย!


 

1. Blazer and T-shirt

เริ่มที่เบลเซอร์กับเสื้อยืด หนึ่งในสไตล์ชุดทำงานที่เรียกได้ว่าคลาสิกสุด ใส่ได้ทุกที่ ทุกเวลา จะสมัยไหนก็ไม่มีเอาต์ เป็นความเรียบง่ายที่แฝงไปด้วยความซับซ้อน ให้คุณสนุกกับการมิกซ์แอนด์แมทช์ เสื้อยืดสีนึง เบลเซอร์สีนึง ระหว่างวันทำงานอาจจะเลือกเป็นเสื้อยืดโทนสีสุภาพ ตกกลางคืนอาจะเปลี่ยนเสื้อยืดให้ดูสดใส ใส่เที่ยวก็ได้ ใส่ทำงานก็ดูภูมิฐาน เรียกว่าครบทุกความต้องการ

2. Mini Dress

ข้อนี้คุณผู้ชายอาจจะต้องสคิปไป ขอเอาใจสาว ๆ ที่ไม่อยากแมทช์ชุดทำงานอะไรให้วุ่นวาย เลือกใส่มินิเดรส 1 ตัวแล้วจบเลย จะเลือกเดรสพิมพ์ลายสีสันสดใส หรือเดรสแบบเรียบ ๆ สไตล์ลูกคุณก็มีให้เลือกหลากหลายแนว แต่งตัวง่าย ใส่กับรองเท้าผ้าใบชิค ๆ ก็ดูสปอร์ต หรือถ้าใครเป็นสายแฟชัน ทำทุกที่ให้เป็นรันเวย์ อยากจัดเต็มมาออฟฟิศ จะใส่คู่กับบูทเก๋ ๆ สักคู่ก็ปังไม่น้อย

3. Shirt

หากเอ่ยถึงชุดทำงานที่คลาสิกทุกยุคทุกสมัย ไม่มีเสื้อเชิ้ตคงเป็นเรื่องแปลก อย่างน้อยในตู้เสื้อผ้าของคุณ คงต้องมีเชิ้ตตัวเก่งสักตัวหรือสองตัวเป็นขั้นต่ำ เรียกได้ว่าเป็นท็อปไอเอทมที่ใส่ได้แทบทุกวันแบบไม่เอาต์ ต่อให้เทรนด์จะเปลี่ยนไปกี่ฤดูกาล การแต่งตัวด้วยเชิ้ตก็ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสุภาพกึ่งทางการ แต่ถ้าคุณอยากดูลำลองหน่อย แต่งคู่กับยีนส์ตัวโปรดเท่ ๆ ก็เป็นอีกลุคที่เก๋ไม่น้อย

4. Statement Blouse

จุดเริ่มต้นของเสื้อ Blouse ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดทำงานของคนงานฝรั่งเศสในช่วง 1800 ก่อนค่อย ๆ พัฒนาและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา ช่วงแรกทำด้วยผ้าเนื้อบางอย่างผ้าไหมหรือผ้าฝ้าย เน้นระบายความร้อนได้ดี ถือเป็นหนึ่งในเสื้อตระกูลเชิ้ตที่มีกิมมิคมากกว่าปกติ อย่างแขนตุ๊กตา โบว์ต่าง ๆ เพิ่มความกรุบกริบ มีระบายที่คอ ฯลฯ มีความวินเทจหน่อย ๆ ทว่าคลาสิก

5. Wide-Leg Pants

เอาใจสายหวานกันไปแล้ว ทีนี้มาดูชุดทำงานสไตล์คูลสุดเท่กันบ้าง กับกางกางขากว้างแมทช์คู่รองเท้าส้นเตี้ย อีกหนึ่งความคลาสิกที่แต่งได้ทุกเวลา ได้ทั้งความน่าเชื่อถือและความเรียบหรู โดยเฉพาะกางเกงสีโทนคลาสิก อย่างเบจ ดำและขาว เป็นสิ่งที่ควรมีติดตู้เสื้อผ้าเป็นอย่างยิ่ง ใส่คู่กับเบลเซอร์ก็ง่าย ใส่คู่กับเชิ้ตก็เข้ากันดีทีเดียว

6. Suiting

หลาย ๆ คนมองว่าสูทไม่ใช่เครื่องแต่งกายสไตล์ Everyday look ซื้อไปอาจจะไม่คุ้มค่าเท่าไรนัก แต่เชื่อเถอะว่ามีติดตู้เสื้อผ้าไว้อย่างไรก็อุ่นใจกว่า หากวันไหนต้องการความน่าเชื่อถือ อย่างพรีเซนท์งานลูกค้า ใส่ไปสัมภาษณ์งาน ฯลฯ เพียงแค่หยิบสูทมาส่วมใส่ก็เพิ่มความมั่นใจขึ้นเป็นกอง เป็นหนึ่งในชุดทำงานที่เปลี่ยนลุคคุณได้ทันตาเห็น คลาสิก เรียบง่ายทว่าภูมิฐาน

7. Jumpsuit

วันไหนที่คุณตื่นสายหรือเหนื่อยเกินกว่าจะเลือกเสื้อผ้ามา Mix and Match ชุดทำงานแบบ Jumpsuit คือตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ หยิบแล้วนำมาสวมใส่ออกจากบ้านได้ทันที ประหยัดเวลาไปได้ทีเดียว เรียกว่าเป็นหนึ่งในชุดกันตายที่อยากชาวออฟฟิศทั้งหลายมีติดตู้ไว้ แถมลุคที่ได้มีทั้งความลำลอง และไม่ทางการจนเกินไป ที่สำคัญแมทช์ง่ายใส่ได้ทั้งกับรองเท้าส้นเตี้ยหรือรองเท้าผ้าใบ

8. Matching Set

การแต่งตัวสไตล์นี้อาจจะใช้เวลาหยิบจับคัดเลือกนิดหน่อย ทว่ามาพร้อมความสนุกอย่างแน่นอน ข้อดีของ Matching Set คือค่อนข้างฟรีสไตล์ไม่มีอะไรตายตัว จะหยิบกระโปรงคู่กับ Shirt หรือ Blouse ในโทนสีตีมเดียวกันแบบ Monochromatic ก็ได้ หรือจะคอนทราสไปเลยก็มีสีสันไปอีกแบบ หรือจะใส่สูทคู่กับกางเกง Statement Pants ก็น่าสนใจ เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 8 ชุดที่แนะนำไป พอจะเป็นไกด์ไลน์หรือตรงใจในสไตล์ของคุณบ้างหรือไม่ เข้าใจว่าการทำงานที่รับผิดชอบให้ดีเป็นหัวใจของการทำงาน แต่อย่าลืมว่าบุคลิกและการแต่งตัวดีก็ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของคุณได้เช่นกัน ทำควบคู่กันไปก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ยิ่งคุณเตรียมพร้อมมากเท่าไร โอกาสดี ๆ ก็ยิ่งเข้าหาคุณ

ประกันสุขภาพเหมาจ่าย หมดห่วงกับภาระค่ารักษาพยาบาล

ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย เฮลท์ พรีเมียม พลัส (HPP) สัญญาเพิ่มเติมค่ารักษาพยาบาลและผ่าตัด หมดห่วงกับภาระค่ารักษาพยาบาลก้อนโต ยกระดับคุณภาพการเข้ารับการรักษาพยาบาลและผ่าตัดที่คุ้มครองทั้งการเจ็บป่วยและบาดเจ็บ ด้วยวงเงินค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายตามจริงสูงสุด 10,000,000 บาทต่อรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย คุ้มครองค่าห้องสูงสุด 15,000 บาทต่อวัน และไม่ต้องสำรองจ่ายเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อให้คนที่คุณรักได้รับการรักษาและดูแลอย่างดีที่สุด

ลักษณะเด่นของแบบประกันสุขภาพ

ยกระดับ เลือกรับคุณภาพการรักษาตามใจคุณ มีให้เลือกถึง 7 แผน

มั่นใจ ด้วยวงเงินค่ารักษาพยาบาล เหมาจ่ายตามจริงสูงสุด 10,000,000 บาท ต่อรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย

หมดกังวล รับความคุ้มครองยาวนาน

จนครบอายุ 80 ปี สำหรับแผน HPP1-3

จนครบอายุ 70 ปี สำหรับแผน HPPM1-M2 และ HPP4-5

สบายใจ ความคุ้มครองครอบคลุมการผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องเข้าพักรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน (Day Surgery)

สะดวก ไม่ต้องสำรองจ่ายเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล ณ โรงพยาบาลในเครือข่ายกว่า 350 แห่งทั่วประเทศ

เบาใจ รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุภายใน 24 ชั่วโมง กรณีเป็นผู้ป่วยนอก

รักษาเต็มที่ ครอบคลุมกับค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกสำหรับค่าล้างไต ค่ารังสีบำบัด และค่าเคมีบำบัด รวมถึงการรักษาแบบเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (Targeted Therapy) สำหรับค่ารักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยนอก

ขยายความคุ้มครอง กรณีฉุกเฉินในต่างประเทศ ภายใน 90 วันแรกของการเดินทางในแต่ละครั้ง

อุ่นใจ กับสายด่วนพร้อมบริการ 24 ชั่วโมง โทร. 0-2660-1222

พิเศษ กับบริการ "ชับบ์ ไลฟ์ โฮมแคร์" ดูแลคุณอย่างสุขภาพต่อเนื่อง โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่มาดูแลถึงที่บ้าน หลังจากเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ลดหย่อนภาษีได้ จากการนำเบี้ยประกันภัยสุขภาพมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก ประกันสุขภาพเหมาจ่าย



ประกันโรคร้ายแรง myFlexi CI

ทุกวันนี้ปัจจัยหลักๆ ในชีวิตที่ทุกคนรู้สึกเป็นกังวล แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นเรื่อง ความรัก การงาน การเงิน และ สุขภาพ ความรักจะเป็นอย่างที่ใจหวังหรือไม่ การงานจะได้รับการเลื่อนขั้นบ้างไหม เรื่องเงินจะได้เกณฑ์ได้โชคลาภหรือเปล่า ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้จะใช้จ่ายอะไรก็คงต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ สุขภาพ ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคภัย หรือเป็นเพราะอุบัติเหตุ หากเจ็บป่วยขึ้นมาต่อให้มีเงินใช้ไม่ขาดมือขนาดไหน หากไม่มีการวางแผนรับมือที่ดีก็คงจะแย่ได้เหมือนกัน บ้างไหม เรื่องเงินจะได้เกณฑ์ได้โชคลาภหรือเปล่า ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้จะใช้จ่ายอะไรก็คงต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
 
โดยเฉพาะโรคร้ายแรงต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ฯลฯ ที่มีอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยมากที่สุด ยิ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนสำรองที่รัดกุม เพราะกันไว้ย่อมดีกว่าแก้อย่างแน่นอน บ้างไหม เรื่องเงินจะได้เกณฑ์ได้โชคลาภหรือเปล่า ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้จะใช้จ่ายอะไรก็คงต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
 
ดังนั้นการเลือกซื้อประกันโรคร้ายแรง จึงเป็นทางออกที่คุ้มค่าและจะช่วยซื้อความอุ่นใจในระยะยาวได้ดีที่สุด แต่จะพิจารณาเลือกซื้อ ประกันโรคร้ายแรง ที่ไหนดี หรือจะเลือกแผนประกันที่คุ้มค่าได้อย่างไร วันนี้ Tune Protect Thailand ขออาสามาแชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ บ้างไหม เรื่องเงินจะได้เกณฑ์ได้โชคลาภหรือเปล่า ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคืองแบบนี้จะใช้จ่ายอะไรก็คงต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี



 
ประกันโรคร้ายแรง myFlexi CI

Tune Protect Thailand ขอแนะนำ myFlexi CI ประกันโรคร้ายแรงที่จะดูแลโรคร้ายทุกระยะ และเลือกความคุ้มครองได้ตามใจคุณได้ครบที่คลิกเลือก
 
คุ้มครอง 5 กลุ่มโรคร้ายแรง โรคมะเร็ง โรคหัวใจและสมอง โรคไตและตับ บาดแผลเจ็บฉกรรจ์ และ โรคเบาหวาน วงเงินสูงสุดถึง 3,000,000 บาท* ด้วยงบแค่หลักพัน ก็สามารถซื้อประกันโรคร้ายที่คุ้มครองหลักล้านได้
 
  • โรคมะเร็งไม่ลุกลาม คุ้มครองสูงสุด 600,000 บาท*
  • โรคมะเร็งระยะลุกลาม คุ้มครองสูงสุด 2,400,000 บาท*
  • โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน คุ้มครองสูงสุด 2,400,000 บาท*
  • การสูญเสียอวัยวะจากโรคเบาหวาน คุ้มครองสูงสุด 300,000 บาท*
  • ค่าทดแทนสำหรับเงินชดเชยรายได้ต่อวันสูงสุด 1,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 15 วันต่อปีกรมธรรม์
  • ค่าทดแทนสำหรับค่าจ้างการบริการพยาบาลพิเศษรายวันสูงสุด 1,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 15 วันต่อปีกรมธรรม์
  • เลือกปรับเพิ่ม-ลด ความคุ้มครองโรคร้าย ตามที่ต้องการได้
  • เบี้ยประกันแบ่งจ่ายเบาๆ ตามระยะเวลาที่คุณเลือก สูงสุด 10 เดือน (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละธนาคาร)
  • ตอบคำถามสุขภาพแค่ 3 ข้อ ไม่ต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล
  • สมัครได้เลย โดยไม่ต้องซื้อประกันชีวิต
  • เบี้ยประกันนำไปลดหย่อนภาษีได้*
  • บริการความเห็นที่สองทางการแพทย์ระดับโลก (My Elite Doctor) ฟรี 1 ครั้ง โดยมืออาชีพด้านการให้บริการเครือข่ายทางการแพทย์ ที่จะช่วยให้มั่นใจในผลการวินิจฉัย และมีแนวทางในการรักษามากยิ่งขึ้น
  • บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Health2Go) ฟรี 1 ครั้ง ไม่ว่าจะเจ็บป่วยที่ไหน เมื่อไหร่ ก็สามารถขอคำแนะนำได้อย่างเป็นส่วนตัวผ่านแชท โทร หรือ วิดีโอคอล ตลอด 24 ชม.

การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่เป็นเหมือนฝันร้ายของทุกคน การเตรียมพร้อมรับมืออยู่เสมอด้วยผู้ช่วยดีๆ อย่าง ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง จึงถือเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด
 
โดยเฉพาะ myFlexi CI ประกันภัยโรคร้ายแรง จาก Tune Protect คุ้มครองทุกระยะโรคร้าย ได้ครบที่คลิกเลือก ปรับเปลี่ยนแผนรับมือได้ตามใจคุณ และที่สำคัญเบี้ยประกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้* อีกด้วย
 
คำเตือน :
 
*ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขของเอกสารเสนอขายก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
*เงื่อนไขการผ่อนชำระขึ้นอยู่กับธนาคารที่ร่วมรายการ และต้องมียอดขั้นต่ำ 3,000 บาทขึ้นไป
*สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง อายุ 35 ปี และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี
*รายละเอียดแตกต่างกันตามแต่ละแผนประกัน

Diabetes

 โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)

โรคเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ

โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร ..??

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยเบาหวานเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมน “อินซูลิน” หรือประสิทธิภาพการทำงานของ “อินซูลิน” ลดลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ



โรคเบาหวานสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้สองชนิด


โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก และมักตรวจพบตั้งแต่วัยเด็ก หรือเริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1  มักต้องรับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานชนิดที่พบมากในผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ในประเทศไทย (ประมาณร้อยละ 95) และผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ทั่วโลก

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อาจผลิตในปริมาณที่ไม่เพียงพอ เพราะอินซูลินที่ผลิตออกมาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน

 

อาการของโรคเบาหวาน


  • ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน
  • คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
  • หิวบ่อย รับประทานจุแต่น้ำหนักลดลง และมีอาการอ่อนเพลีย
  • ถ้าเป็นแผลจะหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนังบ่อย
  • ติดเชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอด
  • ตาพร่ามัว
  • ชาปลายมือ ปลายเท้า


การดูแลตนเองเมื่อเป็นเบาหวาน


  • เรียนรู้เรื่องเบาหวาน
  • ควบคุมอาหาร รับประทานสม่ำเสมอ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • วัดผลการควบคุม
  • พบแพทย์ตามนัด และใช้ยาตามแพทย์สั่งเท่านั้น
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เป็นผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาเบาหวานบางชนิดมักมีอาการต่อไปนี้:
  • รู้สึกไม่สบายเฉียบพลัน
  • หิวมาก มือสั่น เหงื่อออกมาก ตัวเย็น เห็นภาพซ้อน
  • หน้าซีด พูดไม่ชัก
  • กรณีรุนแรงมากอาจซัก หมดสติ
  • ถ้าเกิดเวลากลางคืน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ตื่นขึ้นมา

 

การป้องกันเบาหวาน


  • รับประทานอาหารให้ตรงต่อเวลาและจำกัดปริมาณอาหารแต่ละมื้อให้พอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไป
  • ฉีดยา และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งปริมาณและให้ตรงตามเวลาที่ควรได้รับ
  • ปรึกษาแพทย์ในกรณีที่ต้องรับประทานยาสำหรับโรคอื่น ๆ ร่วมด้วยเพราะยาเหล่านั้นอาจมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  • ควรมีน้ำผลไม้ ลูกกวาด น้ำตาลก้อนติดตัวไว้กรณีฉุกเฉิน
  • ทำประกันเบาหวานไว้ก็อุ่นใจได้มากกว่า